สวัสดีครับทุกคน วันนี้ผมมีเรื่องน่าตื่นเต้นมาเล่าให้ฟังกัน! 😃 เชื่อว่าหลายคนคงได้ยินข่าวเกี่ยวกับ AI ตัวใหม่จากจีนที่ชื่อ DeepSeek กันบ้างแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่ามันกำลังสร้างความปั่นป่วนให้วงการ AI ระดับโลกอย่างไรบ้าง? มาดูกันเลยครับ!
DeepSeek คืออะไร?
DeepSeek เป็น แบบจำลอง AI ที่พัฒนาโดยบริษัทจีนชื่อ High-Flyer ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น แต่ที่น่าสนใจคือ DeepSeek สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เทียบเท่ากับ AI ชั้นนำอย่าง ChatGPT ได้ โดยใช้ทรัพยากรในการฝึกฝนน้อยกว่าถึง 10 เท่า! 😱
เจ้า DeepSeek นี่ใช้เงินในการฝึกฝนแค่ประมาณ 6 ล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Meta ต้องทุ่มเงินมากกว่า 10 เท่าเพื่อฝึกฝน AI ของตัวเอง ถือว่าเป็นการประหยัดทรัพยากรได้อย่างน่าทึ่งจริงๆ
💡 ในความเห็นของผม นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวงการ AI เลยก็ว่าได้ เพราะถ้าบริษัทเล็กๆ สามารถสร้าง AI ที่ทรงพลังได้โดยใช้ทรัพยากรน้อยลง มันจะเปิดโอกาสให้มีผู้เล่นหน้าใหม่ๆ เข้ามาในตลาดได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่บริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้นที่จะมีโอกาส
DeepSeek แตกต่างจาก AI อื่นๆ อย่างไร?
มาดูกันว่า DeepSeek มีจุดเด่นอะไรบ้าง:
- ประสิทธิภาพสูง ต้นทุนต่ำ: DeepSeek สามารถทำงานได้เทียบเท่ากับ AI ชั้นนำอื่นๆ แต่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่ามาก ซึ่งหมายถึงต้นทุนที่ต่ำกว่าด้วย
- โมเดลล่าสุด DeepSeek-R1: เน้นเรื่องการอนุมานเชิงตรรกะ การคำนวณทางคณิตศาสตร์ และการแก้ปัญหาแบบเรียลไทม์ โดยมีความแม่นยำถึง 97.3% ในการทดสอบ MATH-500 ซึ่งถือว่าสูงมาก
- เทคนิคการฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพ: ใช้วิธีการเรียนรู้แบบเสริมกำลัง (Reinforcement Learning) และ Group Relative Policy Optimization (GRPO) ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้เหตุผลของ AI
- เปิดเผยซอร์สโค้ด: DeepSeek เป็น Open Source ทำให้นักวิจัย AI ทั่วโลกสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้
Tip: การที่ DeepSeek เป็น Open Source อาจนำไปสู่การพัฒนา AI ที่ก้าวกระโดดในอนาคตอันใกล้ เพราะมีคนมาช่วยกันพัฒนามากขึ้น
ความกังวลเกี่ยวกับ DeepSeek
แม้ว่า DeepSeek จะดูน่าตื่นเต้น แต่ก็มีประเด็นที่น่ากังวลอยู่หลายอย่างเช่นกัน:
- การเซ็นเซอร์เนื้อหา: DeepSeek ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของรัฐบาลจีน ซึ่งหมายความว่าอาจมีการเซ็นเซอร์หรือหลีกเลี่ยงการพูดถึงหัวข้อที่อ่อนไหวทางการเมือง
- ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว: นโยบายความเป็นส่วนตัวของ DeepSeek ระบุว่าข้อมูลผู้ใช้จะถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ในประเทศจีน ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลจีนเข้าถึงข้อมูลได้
- การใช้ข้อมูลเพื่อการซื้อขายหุ้น: มีคำถามว่าบริษัทแม่ของ DeepSeek ซึ่งเป็นบริษัทเทรดหุ้น จะนำข้อมูลจาก AI ไปใช้ในการซื้อขายหุ้นหรือไม่
- ความเสี่ยงในการถูกแบน: หลังจากที่ TikTok ถูกแบนในสหรัฐฯ ก็มีความกังวลว่า DeepSeek อาจเผชิญชะตากรรมเดียวกัน
💡 ผมคิดว่าประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวและการเซ็นเซอร์เนื้อหาเป็นเรื่องที่น่ากังวลที่สุด เพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานและความน่าเชื่อถือของ AI ในระยะยาว
ผลกระทบต่อตลาดหุ้นเทคโนโลยี
การเปิดตัวของ DeepSeek ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ในวงการ AI เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อตลาดหุ้นเทคโนโลยีด้วย:
- หุ้นบริษัทชิปตกลง: เนื่องจาก DeepSeek ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า AI อื่นๆ มาก ทำให้เกิดความกังวลว่าความต้องการชิปอาจลดลง
- ASML ลดลง 6%: บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรสำหรับทำชิป
- Broadcom ลดลง 17%: บริษัทผู้ผลิตชิป
Giuseppe Sette ประธานบริษัทวิจัยตลาด AI Reflexivity กล่าวว่า “DeepSeek ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับตลาดด้วยการทำมากขึ้นด้วยทรัพยากรที่น้อยลง นี่แสดงให้เห็นว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะได้เห็นเรื่องน่าประหลาดใจในวงการ AI อีกมากมาย”
ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
แน่นอนว่าการเปิดตัวของ DeepSeek ทำให้ผู้เชี่ยวชาญในวงการ AI หลายคนต้องออกมาแสดงความคิดเห็น:
Sam Altman CEO ของ OpenAI กล่าวว่า:
“เป็นโมเดลที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถส่งมอบได้ด้วยราคาที่ต่ำกว่า แต่แน่นอนว่าเราจะส่งมอบโมเดลที่ดีกว่านี้มาก”
เขายังเสริมอีกว่า การมีคู่แข่งใหม่ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า OpenAI มองว่านี่เป็นโอกาสในการพัฒนาตัวเองมากกว่าที่จะเป็นภัยคุกคาม
💡 ในมุมมองของผม การที่ Sam Altman ออกมาพูดแบบนี้ อาจเป็นการพยายามลดความกังวลของนักลงทุนและพนักงานของ OpenAI ด้วย แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเขามองว่า DeepSeek เป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองจริงๆ
ประธานาธิบดีทรัมป์มีความเห็นอย่างไร?
แน่นอนว่าเมื่อมี AI จากจีนมาท้าทายความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ต้องออกมาแสดงความคิดเห็น:
- เรียก DeepSeek ว่าเป็น “สัญญาณเตือนภัย” สำหรับบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
- มองว่าเป็นเรื่องดีที่มีคนสามารถทำ AI ได้ถูกลงและมีประสิทธิภาพเท่าเดิม
- ยืนยันว่าไม่กังวลและเชื่อว่าสหรัฐฯ จะยังคงเป็นผู้นำในด้านนี้
แต่ทรัมป์ยังไม่ได้พูดถึงแผนระยะยาวว่าจะจัดการกับ DeepSeek อย่างไร จะแบนเหมือน TikTok หรือไม่
DeepSeek น่ากลัวแค่ไหน?
หลังจากที่เราได้รู้จัก DeepSeek กันมาพอสมควรแล้ว มาดูกันว่ามันน่ากลัวแค่ไหน:
- ความปลอดภัย: DeepSeek เคยถูกโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่มาแล้ว ทำให้ต้องจำกัดการลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่
- ความเป็นส่วนตัว: นโยบายของ DeepSeek ระบุชัดเจนว่าพันธมิตรของพวกเขา รวมถึงผู้โฆษณา จะแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำของคุณนอก DeepSeek ด้วย ซึ่งรวมถึงกิจกรรมบนเว็บไซต์อื่นๆ และผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณซื้อ
- การเซ็นเซอร์: DeepSeek ถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของรัฐบาลจีน ซึ่งหมายความว่าอาจมีการหลีกเลี่ยงหรือเซ็นเซอร์การอภิปรายในหัวข้อที่ถือว่าละเอียดอ่อนหรือมีความขัดแย้งทางการเมืองตามมุมมองของทางการจีน
- ความไม่แน่นอน: แม้ว่าตอนนี้ DeepSeek จะให้บริการฟรี แต่ก็อาจเริ่มเก็บค่าสมาชิกเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้บางส่วนไม่สามารถเข้าถึงได้
💡 ในความเห็นของผม DeepSeek อาจจะยังไม่น่ากลัวมากนักในแง่ของเทคโนโลยี แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการจัดการข้อมูลและนโยบายการเซ็นเซอร์มากกว่า ผู้ใช้ควรระมัดระวังในการใช้งานและตระหนักถึงความเสี่ยงเหล่านี้
จุดเด่นของ DeepSeek
ถึงแม้จะมีข้อกังวลอยู่บ้าง แต่ DeepSeek ก็มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายอย่าง:
- ประสิทธิภาพสูง: DeepSeek สามารถทำงานได้เทียบเท่ากับ AI ชั้นนำอย่าง ChatGPT
- ต้นทุนต่ำ: ใช้ทรัพยากรในการฝึกฝนน้อยกว่า AI อื่นๆ ถึง 10 เท่า
- Open Source: เปิดโอกาสให้นักพัฒนาทั่วโลกสามารถนำไปต่อยอดได้
- ฟังก์ชันหลากหลาย: นอกจากการแชทแล้ว ยังมีฟังก์ชันสร้างภาพที่ชื่อ Janus Pro ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่า Midjourney และ DALL-E
- การพัฒนาอย่างรวดเร็ว: ทีมพัฒนาของ DeepSeek สามารถปรับปรุงและอัพเดทระบบได้อย่างรวดเร็ว
Tip: หากคุณสนใจทดลองใช้ DeepSeek สามารถสมัครได้ง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์หรือแอปมือถือ โดยใช้แค่อีเมลเท่านั้น ไม่ต้องกรอกข้อมูลการชำระเงินใดๆ
สรุป
DeepSeek เป็น AI ที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในปี 2025 นี้ ด้วยความสามารถที่เทียบเท่า AI ชั้นนำแต่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่ามาก ทำให้มันมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงวงการ AI อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นที่น่ากังวลหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องความเป็นส่วนตัวและการเซ็นเซอร์เนื้อหา ซึ่งผู้ใช้ควรตระหนักและระมัดระวังในการใช้งาน
ในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้นในวงการ AI ระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ และบริษัทใหม่ๆ จากจีน ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคในแง่ของนวัตกรรมและราคาที่ถูกลง
สุดท้ายนี้ ผมให้คะแนน DeepSeek 8/10 ครับ เพราะถึงแม้จะมีข้อกังวลอยู่บ้าง แต่ศักยภาพและนวัตกรรมของมันก็น่าทึ่งมาก ๆ
เป็นยังไงกันบ้างครับ? หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจ DeepSeek มากขึ้นนะครับ ถ้ามีคำถามหรือข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติม comment มาได้เลยนะครับ ผมยินดีตอบทุกข้อสงสัยครับ! 😊
#datascience #generativeai #genai #dataespresso
.