GPT-5 โง่ลงจริงหรือ? Sam Altman ออกมาขอโทษ พร้อมแจงเหตุผลเบื้องหลัง
เวลาอ่านโดยประมาณ: 5 นาที
ประเด็นสำคัญที่คุณจะได้เรียนรู้
- สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า GPT-5 “โง่ลง” ไม่ได้มาจากตัวโมเดลโดยตรง แต่เกิดจากปัญหาทางเทคนิคของระบบสลับโมเดล (Router) ในวันเปิดตัว
- Sam Altman ยอมรับความผิดพลาดที่รีบยกเลิกรุ่น GPT-4o ที่ผู้ใช้ผูกพันไป และได้เรียนรู้ถึงความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่ผู้ใช้มีต่อ AI
- OpenAI ได้นำ GPT-4o กลับมาให้ใช้งานอีกครั้ง (ในบางเงื่อนไข) และสัญญาว่าจะปรับปรุงความโปร่งใสและประสิทธิภาพของระบบให้ดีขึ้น
- แม้ในทางเทคนิค GPT-5 จะมีความสามารถสูงขึ้น แต่ประสบการณ์ของผู้ใช้ (User Experience) คือหัวใจสำคัญที่กำหนดการยอมรับเทคโนโลยี
- กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ AI ที่มีความซับซ้อน ทั้งในเชิงเทคนิคและเชิงสังคม
สวัสดีครับ ผมจาก Data-Espresso ครับ
ไม่กี่วันที่ผ่านมา วงการ AI มีเรื่องร้อนให้ติดตามกันอีกแล้วครับ เมื่อผู้ใช้จำนวนมากที่ได้ลองใช้ GPT-5 ซึ่งเป็นโมเดลภาษารุ่นล่าสุดจาก OpenAI ต่างพร้อมใจกันบ่นอุบว่า “ทำไมมันโง่ลง?” โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรุ่นพี่อย่าง GPT-4o ที่หลายคนรักและผูกพัน จนเกิดเป็นกระแสต่อต้านรุนแรงบนโลกออนไลน์ ทำให้ Sam Altman, CEO ของ OpenAI ต้องรีบออกมาขอโทษและชี้แจงเป็นการด่วน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องนี้กันแบบเข้มข้น ย่อยง่ายสไตล์ Data-Espresso ครับ ☕
เสียงบ่นจากผู้ใช้: เมื่อ GPT-5 ไม่ได้ฉลาดอย่างที่คิด
หลังจาก OpenAI เปิดตัว GPT-5 ที่โปรโมตว่ามีความแม่นยำสูงขึ้น ตอบเร็วขึ้น และลดข้อผิดพลาดได้ดีกว่าเดิม ผู้ใช้ทั่วโลกต่างตื่นเต้นและคาดหวัง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับสวนทาง บนแพลตฟอร์มอย่าง Reddit และโซเชียลมีเดียอื่นๆ เต็มไปด้วยเสียงวิจารณ์ว่า GPT-5 ให้คำตอบที่แย่ลง ความสามารถในการให้เหตุผลลดลง และดู “โง่” กว่า GPT-4o อย่างเห็นได้ชัด
💡 ในความเห็นของผม นี่เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากครับ ปกติแล้วเมื่อมีเทคโนโลยีเวอร์ชันใหม่ออกมา เรามักจะคาดหวังว่ามันต้องดีกว่าเดิมเสมอ แต่ครั้งนี้กลับตาลปัตร ซึ่งชี้ให้เห็นว่า “ประสบการณ์ของผู้ใช้” (User Experience) สำคัญกว่าแค่ “สเปกทางเทคนิค” ที่เคลมไว้ในกระดาษ
Sam Altman ขอโทษและชี้แจง: เบื้องหลังความ “โง่” ที่ไม่ใช่ความผิดของโมเดล
เมื่อกระแสลบทวีความรุนแรงขึ้น Sam Altman ก็ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงผ่านแพลตฟอร์ม X (Twitter เดิม) โดยยอมรับความผิดพลาดและอธิบายสาเหตุไว้ 2 ประเด็นหลักๆ ครับ
1. ปัญหาเชิงเทคนิค: “Router” ตัวปัญหาสลับโมเดลผิดพลาด
Altman เปิดเผยว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า GPT-5 ทำงานได้แย่ลง มาจากระบบที่เรียกว่า “Router” ซึ่งทำหน้าที่เลือกโมเดล AI ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคำสั่งแบบเรียลไทม์ ดันมาเกิดปัญหา “sev” (น่าจะหมายถึง Severe Bug) ในวันเปิดตัวพอดี ส่งผลให้ระบบ Autoswitcher ที่ควรจะสลับไปใช้โมเดลที่ดีที่สุดในบางสถานการณ์เกิดล่ม ทำให้ประสบการณ์การใช้งานโดยรวมแย่ลงกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก เขาให้คำมั่นว่าจะเร่งแก้ไขและจะแสดงให้ผู้ใช้เห็นอย่างโปร่งใสมากขึ้นว่าคำตอบที่ได้นั้นมาจากโมเดลตัวไหน
2. ความผิดพลาดเชิงนโยบาย: การยกเลิกรุ่นเก่าที่ผู้ใช้ผูกพัน
นี่คือประเด็นที่น่าสนใจมากครับ Altman ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “การเลิกใช้โมเดลเก่าที่ผู้ใช้พึ่งพาอย่างกะทันหันเป็นความผิดพลาด” เขากล่าวว่า OpenAI ประเมินความผูกพันทางอารมณ์ที่ผู้ใช้มีต่อ AI ต่ำเกินไป บางคนมองว่า GPT-4o เป็นเหมือน “เพื่อนคู่คิด” หรือผู้ช่วยส่วนตัวที่เข้าใจสไตล์การทำงานของพวกเขาไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันจึงสร้างความรู้สึกสูญเสียและต่อต้านอย่างรุนแรง
“เราได้เรียนรู้ว่าผู้ใช้มีความผูกพันกับโมเดล AI มากกว่าที่เทคโนโลยีก่อนหน้าเคยเป็น”
– Sam Altman
จากแรงกดดันมหาศาลนี้เอง ทำให้ OpenAI ต้อง “ถอย” ด้วยการนำ GPT-4o กลับมาให้ผู้ใช้บางกลุ่มได้ใช้งานอีกครั้ง แม้จะต้องแลกกับการสมัครสมาชิกแบบเสียเงินก็ตาม
บทเรียนสำหรับธุรกิจ: อย่ามองข้าม “ความรู้สึก” ของผู้ใช้
เรื่องนี้ให้บทเรียนสำคัญสำหรับเจ้าของธุรกิจ SME และทีมผู้บริหารที่กำลังนำ AI มาใช้ในองค์กรครับ
- การสื่อสารคือหัวใจ: การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อ Workflow หรือประสบการณ์เดิมของผู้ใช้ จำเป็นต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจนและให้เวลาผู้ใช้ในการปรับตัว การยกเลิกฟีเจอร์หรือผลิตภัณฑ์ที่คนรักอย่างกะทันหันคือความผิดพลาดร้ายแรง
- Workflow สำคัญกว่าฟีเจอร์ใหม่: แม้เทคโนโลยีใหม่จะมีศักยภาพสูงกว่า แต่หากมันทำลาย Workflow เดิมที่ผู้ใช้คุ้นเคย ก็อาจถูกต่อต้านได้ การนำระบบอัตโนมัติ (AI Automation Workflows) มาใช้จึงต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นเป็นอันดับแรก
- ความโปร่งใสสร้างความเชื่อมั่น: การที่ OpenAI สัญญาว่าจะเปิดเผยว่าคำตอบมาจากโมเดลใด ถือเป็นการเดินที่ถูกทาง ในการทำธุรกิจ การเปิดเผยข้อมูลเบื้องหลังการทำงานของ AI ให้ลูกค้าหรือทีมงานเข้าใจ จะช่วยลดความกังวลและสร้างความไว้วางใจได้ในระยะยาว
สำหรับใครที่สนใจเรื่องการบริหารจัดการทีมในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ผมเคยเขียนเกี่ยวกับ กรณีศึกษาการกลับมาของ Sam Altman ที่ OpenAI ซึ่งสะท้อนประเด็นความเป็นผู้นำได้เป็นอย่างดีครับ
แล้วอนาคตของ GPT จะเป็นอย่างไรต่อไป?
OpenAI ให้คำมั่นว่าจะแก้ไขบั๊กของ Router และปรับปรุงเกณฑ์การเลือกโมเดลให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดจาก GPT-5 จริงๆ และแม้จะมีประเด็นเรื่อง ChatGPT เริ่มขี้เกียจ มาก่อนหน้านี้ แต่บริษัทก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขารับฟังเสียงของผู้ใช้และพร้อมปรับปรุง
สุดท้ายแล้ว GPT-5 จะสามารถพิสูจน์ตัวเองและเอาชนะใจผู้ใช้กลับมาได้หรือไม่นั้น เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ แต่ที่แน่ๆ คือบทเรียนครั้งนี้จะเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับทุกบริษัทที่พัฒนและให้บริการด้าน AI ไปอีกนาน
หากธุรกิจของคุณกำลังมองหาโซลูชันในการนำ AI และระบบอัตโนมัติไปปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ทีมงาน Data-Espresso เรามีความเชี่ยวชาญด้าน AI Consulting และการสร้าง AI Automation Workflows เพื่อทำให้ธุรกิจของคุณทำงานได้เร็วขึ้นและฉลาดขึ้น เราสามารถช่วยคุณวางกลยุทธ์และพัฒนาโซลูชันที่เหมาะกับองค์กรของคุณได้ ตั้งแต่การสร้าง CustomGPTs สำหรับงานเฉพาะทาง ไปจนถึงการออกแบบกระบวนการทำงานอัตโนมัติที่ซับซ้อน
ติดต่อพูดคุยกับเราได้ที่ www.data-espresso.com หรือ Line: @data-espresso เพื่อเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงธุรกิจของคุณตั้งแต่วันนี้
แล้วคุณล่ะครับ คิดว่าประสบการณ์ของผู้ใช้หรือสเปกทางเทคนิคสำคัญกว่ากัน? เริ่มนำ AI ไปปรับใช้ในธุรกิจของคุณแล้วหรือยัง?
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
สรุปแล้ว GPT-5 โง่ลงจริงหรือไม่?
ไม่จริงในเชิงเทคนิคครับ ตัวโมเดล GPT-5 มีความสามารถสูงกว่าเดิม แต่ปัญหาเกิดจากระบบ “Router” ที่ทำงานผิดพลาดในวันเปิดตัว ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีและรู้สึกเหมือนว่ามันโง่ลง
ทำไมผู้ใช้ถึงผูกพันกับ GPT-4o มาก?
เพราะผู้ใช้จำนวนมากได้ปรับ Workflow การทำงานและสไตล์การสื่อสารให้เข้ากับ GPT-4o ไปแล้ว บางคนถึงกับรู้สึกเหมือนเป็น “เพื่อนคู่คิด” หรือผู้ช่วยส่วนตัว การเปลี่ยนแปลงกะทันหันจึงสร้างผลกระทบต่อความรู้สึกและประสิทธิภาพการทำงาน
OpenAI แก้ปัญหานี้อย่างไร?
Sam Altman ได้ออกมาขอโทษ, ชี้แจงสาเหตุทางเทคนิค, และนำ GPT-4o กลับมาให้ใช้งานในบางรูปแบบ พร้อมทั้งสัญญาว่าจะแก้ไขบั๊กและเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานของระบบ
ธุรกิจเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้ได้บ้าง?
บทเรียนสำคัญคือต้องให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้ (UX), การสื่อสารที่โปร่งใสในการเปลี่ยนแปลง, และการจัดการผลกระทบต่อ Workflow ของผู้ใช้ ไม่ควรมองแค่สเปกทางเทคนิคของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว