Google Search Generative Experience (SGE) คือฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดจาก Google ที่ผสมผสานการค้นหาแบบเดิมเข้ากับ Generative AI เพื่อมอบประสบการณ์การค้นหาข้อมูลรูปแบบใหม่ให้กับผู้ใช้งาน โดย Google SGE จะช่วยตอบคําถาม สรุปประเด็นสําคัญ และให้ข้อมูลที่ครอบคลุมจากหลากหลายแหล่ง ทําให้ผู้ใช้ไม่จําเป็นต้องคลิกเข้าไปอ่านเนื้อหาในเว็บไซต์โดยตรง
หลักการทํางานของ Google SGE
Google SGE ใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) ที่มีชื่อว่า PaLM2 ในการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลจํานวนมหาศาล เพื่อทําความเข้าใจคําถามของผู้ใช้และสร้างคําตอบที่เกี่ยวข้อง โดยอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ตามหลักการ E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ของ Google
อย่างไรก็ตาม Google SGE ยังมีข้อจํากัดบางประการในช่วงแรก เช่น ไม่สามารถตอบคําถามที่ซับซ้อนหรือคลุมเครือได้ชัดเจน ข้อมูลอาจไม่ถูกต้อง 100% และยังใช้งานได้ในบางประเทศเท่านั้น
ผลกระทบของ Google SGE ต่อ SEO
การมาของ Google SGE จะส่งผลให้รูปแบบการทํา SEO ต้องปรับตัวเพื่อให้เว็บไซต์ยังคงติดอันดับต้น ๆ บนหน้าผลการค้นหาแบบใหม่ ซึ่งมีการคาดการณ์ถึงการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้
– ผู้ใช้จะเลื่อนดูผลการค้นหาน้อยลง เพราะได้คําตอบที่ต้องการจากแถบสรุปของ SGE แล้ว ทําให้อันดับ SEO ไม่สําคัญเท่าเดิม
– Featured Snippet ที่เคยอยู่อันดับ 0 จะหมดความสําคัญลง เพราะถูกแทนที่ด้วยข้อมูลสรุปจาก SGE
– การติดอยู่ใน SGE Snapshot จะมีความสําคัญมาก ซึ่งอาจต้องปรับกลยุทธ์ด้วยการสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ ใช้คีย์เวิร์ดยาว และเพิ่มความน่าเชื่อถือของโดเมน
วิธีใช้งาน Google SGE
ปัจจุบัน Google SGE ยังอยู่ในช่วงทดสอบ โดยเปิดให้ใช้ในบางประเทศรวมถึงไทย ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าคิวรอใช้งานได้ที่ https://labs.withgoogle.com/sge/ ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ Google Chrome เท่านั้น
สรุป
Google SGE ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญของวงการ Search Engine ที่จะมาปฏิวัติรูปแบบการค้นหาข้อมูลและการทํา SEO แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจก็ควรติดตามและเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่จะตามมา เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันบนโลกออนไลน์ต่อไปในอนาคต
☕️☕️☕️