เชื่อหรือมั้ยครับว่าเรากำลังอยู่ในยุคที่ข้อมูล มีมูลค่ามากกว่าน้ำมัน มูลค่าในที่นี้ไม่ได้หมายถึงราคาต่อหน่วยนะครับ แต่หมายถึงผลลัพธ์จากการนำไปใช้งานต่อยอดในโลกธุรกิจ…
ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นทศวรรษที่ 20 มหาอำนาจหลายประเทศต้องการที่จะเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันเพื่อสร้างมูลค่าและใช้ในการทำอุตสาหกรรมต่างๆ
ซึ่งบ่อน้ำมันส่วนใหญ่ไปอยู่ที่แถบเอเชียตะวันออกกลางประเทศอย่างซาอุดิอาระเบีย หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จึงร่ำรวยเพราะมีบ่อน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แต่ในปัจจุบันปี 2019 สิ่งที่มีค่าปรับไม่ใช่น้ำมัน…
จากข้อมูล Fortune 500 เมื่อปลาย 2018 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกคือ Apple ที่มีมูลค่าบริษัทเกือบ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ($921 bil.) ตามมาด้วย อันดับสอง amazon ที่มีมูลค่าบริษัท 765 ล้านเหรียญสหรัฐ
อันดับ 3 คือ Alphabet ของ Google ($750 bil.) ตามมาด้วยอันดับ 4 คือ Microsoft ($746 bil.) และอันดับ 5 Facebook ($531 bil.)
จะเห็นได้ว่า 5 อันดับแรกของบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกนั้นเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทั้งหมดและแน่นอนบริษัทเหล่านี้ขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่เรียกว่าข้อมูลหรือนั่นเอง
ทุกคนคงทราบอยู่แล้วว่า Apple ขาย iPhone จนรวย microsoft ขาย Microsoft Windows และ Microsoft Office จนสามารถสร้างรายได้มหาศาล แต่ในตรงกันข้าม Amazon, Google และ Facebook มีรายได้จากธุรกิจหลักซึ่งไม่ใช่การขาย Hardware หรือ Softwaere
ทั้ง 3 บริษัทนี้มีสิ่งที่เหมือนกันก็คือสร้างรายได้ให้กับบริษัทโดยใช้ข้อมูลที่ตัวเองมี มาต่อยอดให้กับธุรกิจของตัวเอง
amazon เริ่มต้นจากการขายกาแฟ เอ๊ยไม่ใช่ (ล้อเล่น) เริ่มต้นจากการขายหนังสือออนไลน์ ภายหลังจึงได้นำระบบขายหนังสือออนไลน์มาปรับขายอย่างอื่นเพิ่มเติมเข้าไปด้วย
และด้วยความฉลาดของ เจฟฟ์ เบซอส เจ้า Amazon เขารู้ว่าสิ่งที่ทุกคนต้องการคือระบบ เจฟฟ์ เบซอสเลยนำระบบที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ภายในบริษัท มาพัฒนาต่อและนำออกมาให้กับคนอื่นใช้ด้วยนั่นคือต้นกำเนิดของ amazon web service หรือ aws นั่นเอง
เรากลับมาพูดถึงการนำข้อมูลมาใช้ของ Amazon พวกเขาแนะนำข้อมูลการสั่งซื้อการจัดส่งรวมไปจนถึงการสต๊อกสินค้าเพื่อให้รู้ว่าสินค้าไหนควรจะมีการนำสต๊อกเพิ่มสินค้าไหนควรขายให้ใคร ซึ่งเกิดการนำข้อมูลมาวิเคราะห์
จนในปัจจุบันระบบการแนะนำสินค้าของ Amazon ถือว่าดีที่สุดในโลกเมื่อคุณคลิกสินค้าใดก็ตามจะมีการแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องขึ้นมาให้โดยอัตโนมัติโดยดูจากข้อมูลการสั่งซื้อและสิ่งที่เราสนใจหรือที่เคยดูในอดีต
ส่วน Google นั้นหลายๆคนคงรู้อยู่แล้วว่าเป็นระบบค้นหาทางอินเตอร์เน็ตที่ทุกคนเกือบทั้งโลกใช้ในการค้นหาข้อมูลต่างๆไม่ว่าจะเป็นสินค้าข่าวบทความหรือพยากรณ์อากาศ
เมื่อมีคนต้องการค้นหาข้อมูลมหาศาล Google จึงใช้ความได้เปรียบตรงนี้ขายโฆษณาให้กับบริษัทที่ต้องการให้สินค้าหรือบริการของตนเองแสดงไปพร้อมกับคำค้นหาที่ใกล้เคียง
คุณอาจจะเคยค้นหาแว่นตาหรือตู้เย็นหรือสูตรอาหาร ข้อมูลเหล่านั้นกูก็ได้ track เก็บไว้ทำให้นำเสนอสินค้าหรือบริการที่ใกล้เคียงได้อย่างแม่นยำ
นอกจาก Google search engine แล้วยังมี YouTube บริการ Video Online Platform ที่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกตอนนี้ก็มีการนำโฆษณามาแทรกขณะที่เรากำลังดูวีดีโอ
รายได้ตรงนี้มหาศาลมาก Google จึงพยายามให้ทุกคนดูยูทูปได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายแลกกับการที่ต้องดูโฆษณานั่นเอง
เช่นเดียวกับ Facebook ของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กระบบ Social network ที่มีคนใช้งานมากกว่า 4 พันล้านคนทั่วโลกถือว่าเป็นระบบ social network ที่ใหญ่ที่สุดมีผู้ใช้งานมากที่สุด ซึ่ง Facebook ก็เก็บข้อมูลประวัติการกดไลค์กดแชร์การเข้าซื้อของต่างๆเช่นเดียวกันกับ Google
แต่สิ่งที่แตกต่างจาก Google, เนื่องจากว่าข้อมูลที่เราให้กับ facebook นั้นละเอียดกว่ามาก เราให้ ชื่อ,นามสกุล, วันเดือนปีเกิด, ที่อยู่, เพศ, สิ่งที่สนใจ, การเช็คอิน, อารมณ์, กิจกรรม, หรือแม้กระทั่งศาสนา
ทำให้การแสดงข้อมูลโฆษณาของ facebook นั้นตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่า google เพราะมีข้อมูลรายบุคคลมากกว่านั้นเองจึงทำให้การลงโฆษณาบน Facebook จึงมักจะได้ผลดีกว่า
มาถึงตอนนี้เราคงรู้แล้วใช่ไหมครับว่าสิ่งที่มีค่ามากที่สุดตอนนี้กลับไม่ใช่น้ำมันแต่กลายเป็นข้อมูลต่างหาก
บริษัทที่สามารถเก็บข้อมูลได้เยอะ และสามารถนำมาวิเคราะห์ได้เร็วจะมีโอกาสได้เปรียบและนำคู่แข่งในยุคที่การแข่งขันเร็วยิ่งกว่า 5G
ต้องดูกันต่อไปว่าจะมีบริษัทที่นำข้อมูลมาสร้างประโยชน์ได้มากกว่าบริษัทที่ผมพึ่งกล่าวไปหรือไม่แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ Data scientist ในเมืองไทย…ขาดคนครับ
(หมายเหตุ การวัดมูลค่าของบริษัทนั้นไม่ได้ดูจากยอดขายหรือกำไรแต่เพียงอย่างเดียวแต่มีองค์ประกอบอีกหลายอย่างสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก ที่มาครับ)
Reference:
http://fortune.com/2018/05/21/fortune-500-most-valuable-companies-2018/
https://www.statista.com/statistics/263264/top-companies-in-the-world-by-market-value/