สรุป 37 ข้อ OpenAI DevDay 2025

Generative AIสรุป 37 ข้อ OpenAI DevDay 2025

สรุป 37 ข้อ OpenAI DevDay 2025: การเปลี่ยนผ่านจาก Chatbot สู่ AI Platform ที่ครบวงจร 👇

OpenAI จัดงาน DevDay 2025 ที่ Fort Mason ในซานฟรานซิสโกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2025 โดยมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 1,500 คน ซึ่งเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงการประกาศผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของ OpenAI จากผู้ให้บริการโมเดล AI เป็น ecosystem ที่ครบวงจร ซึ่งครอบคลุมทั้งซอฟต์แวร์ การพัฒนา agent และแม้กระทั่งฮาร์ดแวร์ในอนาคต

ตัวเลขที่สะท้อนการเติบโต

1. Sam Altman CEO ของ OpenAI เปิดงานด้วยการเปิดเผยตัวเลขการเติบโตที่น่าประทับใจ จากปี 2023 ที่มีนักพัฒนา 2 ล้านคนต่อสัปดาห์และผู้ใช้ ChatGPT 100 ล้านคนต่อสัปดาห์ ปัจจุบันมีนักพัฒนา 4 ล้านคนที่สร้างผลงานด้วย OpenAI และผู้ใช้ ChatGPT เพิ่มขึ้นเป็น 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ (เพิ่มขึ้นจาก 400 ล้านคนในเดือนกุมภาพันธ์ 2025) การใช้งาน API ก็พุ่งสูงจาก 200 ล้าน token ต่อนาทีในปี 2023 เป็น 6 พันล้าน token ต่อนาทีในปัจจุบัน การเติบโตแบบทวีคูณนี้แสดงให้เห็นว่า OpenAI กำลังเคลื่อนจากผลิตภัณฑ์ที่เน้น consumer ไปสู่แพลตฟอร์มที่นักพัฒนาและองค์กรต่างพึ่งพา

2. Altman ระบุอย่างชัดเจนในงานแถลงข่าวหลังงานว่าการทำกำไรไม่ได้อยู่ใน “top 10 concerns” ของเขา แม้ว่า OpenAI จะต้องทำกำไรในที่สุด แต่ตอนนี้บริษัทอยู่ในช่วง “investment and growth” นี่เป็นสัญญาณที่สำคัญว่า OpenAI กำลังเดิมพันระยะยาวด้วยการใช้เงินทุนอย่างมหาศาลเพื่อสร้าง infrastructure และยึดครองตลาด ซึ่งสอดคล้องกับข้อตกลงด้าน compute infrastructure ที่มีมูลค่ารวมเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

Apps in ChatGPT: การแข่งขันกับ App Store

3. ประกาศสำคัญแรกคือ Apps SDK ที่เปิดตัวในรูปแบบ preview เครื่องมือนี้ช่วยให้นักพัฒนาสร้างแอปพลิเคชันที่ทำงานได้โดยตรงภายใน ChatGPT โดยไม่ต้องออกจากหน้าต่างแชท แอปเหล่านี้สามารถแสดง rich UI เต็มหน้าจอ แชร์ context ผ่าน Model Context Protocol (MCP) และเข้าถึงฐานผู้ใช้หลายร้อยล้านคนได้ทันที Partners ที่เปิดตัวในงาน ได้แก่ Spotify, Canva, Zillow, Figma, HubSpot และ Coursera โดยการ demo แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้สามารถดูวิดีโอบทเรียน machine learning ถามคำถามกับ ChatGPT แบบ real-time จากนั้นใช้ Canva สร้างโปสเตอร์โดยไม่ต้องออกจากหน้าต่างแชท

4. Apps SDK สร้างขึ้นบน MCP ซึ่งเป็น open standard ที่ทำให้แอปทำงานได้ทุกที่ที่ ChatGPT มีอยู่ (web, mobile) OpenAI จะเริ่มรับ app submissions ในปลายปี 2025 และมี app directory พร้อมระบบ review process การประกาศเรื่อง monetization จะตามมาในภายหลัง กลยุทธ์นี้เปรียบเสมือนการสร้าง “App Store” ที่อยู่ภายใน conversational interface ซึ่งท้าทายรูปแบบการกระจายแอปพลิเคชันแบบดั้งเดิม นักพัฒนาได้ช่องทางการเข้าถึงผู้ใช้จำนวนมหาศาลโดยตรง ในขณะที่ผู้ใช้ก็ได้ประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ (seamless) มากขึ้น

5. ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือหุ้นของบริษัทที่ถูกกล่าวถึงในงาน เช่น Figma, HubSpot และ Coursera พุ่งสูงขึ้นหลังการประกาศ Altman บอกกับสื่อว่าเขารู้สึก “แปลก” กับการตอบสนองของตลาด และ Brad Lightcap COO ของ OpenAI ระบุว่าตลาดมีปฏิกิริยาในรูปแบบที่บริษัทไม่ได้คาดหวัง และกำลังพยายามหาวิธีที่เหมาะสมในการมีส่วนร่วมกับ partners ใน ecosystem โดย Lightcap สรุปว่า “ทุกคนกำลังคลั่งไคล้กันไปหน่อย” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังสูงและความผันผวนของตลาด AI ในขณะนี้

AgentKit: จาก Prototype สู่ Production

6. AgentKit คือชุดเครื่องมือครบวงจรสำหรับสร้าง deploy และปรับปรุง AI agents ประกอบด้วย Agent Builder ซึ่งเป็น visual drag-and-drop interface ที่ช่วยให้นักพัฒนาออกแบบ workflow ที่ซับซ้อนได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดตั้งแต่ต้น ระบบนี้สร้างจาก Responses API ที่มีนักพัฒนาหลายแสนคนใช้งานอยู่แล้ว และใช้ common patterns ที่สกัดมาจาก production agent deployments ซึ่งทำให้สามารถสร้าง agent ที่เชื่อมต่อ specialized agents เพิ่ม if/else logic nodes ผสาน tools และ customize outputs ด้วย visual widgets ได้อย่างรวดเร็ว

7. ChatKit เป็นส่วนหนึ่งของ AgentKit ที่ให้นักพัฒนาฝัง chat interface ที่ปรับแต่งได้เข้าไปในแอปพลิเคชันของตนเอง component นี้จัดการ chat experience ทั้งหมด รวมถึง conversation history, tool invocation display และ custom widget rendering โดยนักพัฒนาสามารถนำ brand และ workflows ของตนเองมาใช้ได้ ในการ demo บนเวที Christina Huang สมาชิกทีม technical staff ของ OpenAI สร้าง agent สำหรับเว็บไซต์งาน DevDay เสร็จภายใน 8 นาที (เหลือเวลาอีก 49 วินาที) และ agent นั้นพร้อมให้ผู้เข้าร่วมงานใช้ได้ทันที

8. AgentKit มาพร้อมกับ Connector Registry ซึ่งเป็น centralized dashboard สำหรับจัดการ data connections และ permissions ข้ามแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Dropbox, Google Drive, SharePoint และ Microsoft Teams ระบบนี้มาตรฐานการเข้าถึงข้อมูลผ่าน standard endpoints และลด ad-hoc function plumbing ซึ่งมักเป็นอุปสรรคในการนำ agentic apps ไปใช้งานจริง อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังเรื่อง security เพราะการเชื่อมต่อ agents กับข้อมูลส่วนตัวจากหลาย connectors อาจสร้างช่องโหว่ที่ผู้โจมตีอาจใช้ exfiltrate ข้อมูลได้

9. OpenAI ปรับปรุงระบบ Evals ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่นักพัฒนาใช้ทดสอบและวัดประสิทธิภาพของ AI agent ระบบใหม่มี trace grading, datasets และ automated prompt optimization เครื่องมือทั้งหมดใน AgentKit รวมถึง ChatKit และ Evals พร้อมให้นักพัฒนาทุกคนใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม นอกจากนี้ OpenAI ยังเน้นเรื่อง self-hosted route ด้วย open-source Agents SDK ใน Python และ TypeScript ซึ่งมี primitives สำหรับ agents, handoffs, guardrails และ sessions พร้อม built-in tracing ทำให้องค์กรสามารถออกแบบ flows ใน OpenAI UI แล้ว operate บน stack ของตนเองได้ ซึ่งมักเป็นข้อกำหนดด้าน compliance ในอุตสาหกรรมที่มีการควบคุมสูง

10. การเปรียบเทียบกับ competitors อื่นๆ AgentKit สร้างภาพคุกคามโดยตรงต่อแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Zapier (มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ พร้อม integration มากกว่า 8,000 รายการ), Make (เป็นที่รู้จักด้าน visual workflow building), n8n (ได้รับความนิยมด้าน self-hosted control), Lindy AI ($49-299/เดือน) และ Relevance AI ($199-599/เดือน) ด้วยการนำเสนอ visual workflow building ที่เทียบเท่า พร้อม AI capabilities ที่แข็งแกร่งกว่า infrastructure ที่ดีกว่า และการกระจายที่กว้างขวางกว่า (เข้าถึงผู้ใช้ 800 ล้านคน) ในราคาที่อาจถูกกว่าเมื่อคิดเป็น total cost of ownership

Codex: AI Coding Assistant ไปสู่ General Availability

11. Codex ซึ่งเป็น code-writing model ของ OpenAI ได้เข้าสู่ general availability แล้ว โดยมี enterprise features ที่สำคัญ 3 อย่าง: Slack integration สำหรับการทำงานร่วมกันของทีม, Codex SDK สำหรับ workflow automation และ admin tools ที่มี environment controls, monitoring และ analytics dashboards คุณสมบัติเหล่านี้ตอบโจทย์ enterprise governance และ team-based development workflows โดย Codex สามารถทำงานตั้งแต่ pair programming ใน local environment ไปจนถึงการมอบหมายงานไปยัง cloud

12. Alexander Embiricos หัวหน้าทีม Codex ได้พูดในงานเกี่ยวกับวิธีที่ OpenAI engineers ใช้ Codex เพื่อคิดใหม่เกี่ยวกับวิธีการเขียนโค้ด refactor และ merge โดยเน้นว่า Codex กำลังปลดล็อกอนาคตของการเขียนโค้ดที่เร็วขึ้นและสร้างสรรค์มากขึ้น ในช่วง session หนึ่ง Cursor CEO Michael Truell ได้แชร์ว่า Cursor ได้เติบโตจาก next action prediction ไปสู่ fully autonomous coding agents โดยพูดถึงวิธีสร้าง agent harness และ tools วิธีจัดการกับ context engineering และการเปิดใช้งาน support สำหรับ running many agents in parallel

Model Updates: GPT-5 Pro และ Sora 2

13. GPT-5 Pro เปิดตัวเป็น high-accuracy API model สำหรับ critical workloads โดยมีราคา $15 ต่อล้าน input tokens และ $120 ต่อล้าน output tokens ซึ่งถูกกว่า o1-pro (ซึ่งราคา $150/$600) GPT-5 มีให้บริการใน 3 ขนาด (gpt-5, gpt-5-mini, gpt-5-nano) พร้อม support สำหรับ tool use, structured outputs, prompt caching และ parallel tool calls GPT-5 ได้เปิดให้นักพัฒนาใช้งานใน API ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2025 และมี GPT-5-codex ที่เพิ่มเข้ามาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2025 ซึ่งเป็น coding-optimized variant

14. Sora 2 ซึ่งเป็น video generation model รุ่นใหม่ ได้เปิดให้ใช้งานใน API แบบ preview แล้ว โดยมีความสามารถด้าน audio ที่ปรับปรุงแล้วและ remixing capabilities Altman ได้แสดง demo การใช้งาน Sora 2 ด้วยวิดีโอ AI-generated ของสุนัขเล่นกันที่ชายหาดและนักกรีฑาพายเรือลงแม่น้ำ ในงาน DevDay ยังมี “Sora Cinema” ซึ่งเป็น mini-theater ที่ฉายหนังสั้นที่สร้างด้วย Sora พร้อมป๊อปคอร์น และมี arcade games ที่สร้างด้วย GPT-5 เพื่อแสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้เชิงสร้างสรรค์ของเทคโนโลยี

15. นอกจากนี้ยังมี gpt-realtime-mini ที่ปรับให้เหมาะกับ live voice โดยมีต้นทุนต่ำกว่า 70% และ gpt-image-1-mini สำหรับงาน image generation ที่ประหยัดค่าใช้จ่าย OpenAI ยังประกาศเรื่อง gpt-oss ซึ่งเป็น open model series ล่าสุดที่ให้นักพัฒนา adapt, extend และ fine-tune ตามความต้องการได้ ในขณะที่ผสานกับ GPT-5 ได้อย่างราบรื่น สำหรับ flexible, high-impact builds

วิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของ Coding

16. ในช่วงท้ายของ keynote Altman ได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับว่า AI จะเปลี่ยนการเขียนโค้ดจากอาชีพที่ทำโดยทีมใหญ่ๆ ให้เป็นสิ่งที่บุคคลเดียวสามารถทำได้ด้วยความช่วยเหลือจาก ChatGPT โดยเขากล่าวว่า “เรากำลังเห็นสิ่งสำคัญเกิดขึ้น ซอฟต์แวร์เคยใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีในการสร้าง คุณเห็นแล้วว่าตอนนี้มันสามารถสร้างได้ภายในไม่กี่นาที คุณไม่ต้องการทีมใหญ่ คุณต้องการแค่ไอเดียที่ดี และคุณก็สามารถทำให้มันเป็นจริงได้เร็วกว่าที่เคย” แม้ว่าบางส่วนของผู้ฟังจะคิดว่าการนำเสนอจบแล้วและพยายามปรบมือ แต่ Altman ยังพูดต่อเพื่อเน้นย้ำจุดยืนนี้

17. OpenAI ให้ความสำคัญกับ enterprise customers มากขึ้น ซึ่งให้ revenue streams ที่คาดการณ์ได้มากกว่า consumer subscriptions sessions ต่างๆ ครอบคลุมเรื่อง “orchestrating agents at scale”, ความท้าทายในการนำ enterprise AI ไปใช้ และวิธีที่ OpenAI ใช้เทคโนโลยีของตนเองใน internal workflows ข้าม sales, support, finance และ data การเน้นย้ำด้าน enterprise นี้เป็นการเปลี่ยนแปลงจากงาน DevDay ครั้งก่อนๆ โดยงาน DevDay ครั้งแรกในปี 2023 เปิดตัว GPT-4 Turbo และ GPT Store marketplace ส่วนปี 2024 เน้นที่ developer API improvements เป็นหลัก

Hardware Ambition: Jony Ive และอนาคตของ AI Device

18. ในช่วง closing fireside chat ที่เวลา 16:15 น. (ไม่มี livestream แต่ถูกโพสต์บน YouTube ภายหลัง) Sam Altman และ Jony Ive นั่งคุยกันเกี่ยวกับโปรเจคฮาร์ดแวร์ที่พวกเขากำลังพัฒนาร่วมกัน Ive ซึ่งเป็นอดีต chief design officer ของ Apple ที่รับผิดชอบการออกแบบผลิตภัณฑ์ iconic อย่าง iPod, iPhone, iPad และ MacBook Air ได้เข้าร่วม OpenAI หลังจากที่บริษัทซื้อ io startup ของเขาในเดือนพฤษภาคม 2025 ในราคาประมาณ 6.5 พันล้านดอลลาร์ (all-stock deal) การเข้าซื้อนี้ส่งผลให้ Ive มี “deep creative and design responsibilities across OpenAI”

19. Ive กล่าวในงานว่า “เราไม่มีความสัมพันธ์ที่ง่ายกับเทคโนโลยีของเราในขณะนี้” และแทนที่จะมอง AI เป็นส่วนขยายของปัญหาเหล่านั้น เขามองมันแตกต่างออกไป เขาเชื่อว่า AI เป็นโอกาสในการ reset ความสัมพันธ์ของเราทั้งหมดกับเทคโนโลยี โดย Ive ระบุว่า “มันจะไร้สาระที่จะสันนิษฐานว่าคุณสามารถมีเทคโนโลยีที่น่าทึ่งขนาดนี้ ส่งมอบผ่าน legacy products ที่มีอายุหลายสิบปี” และเห็นว่านี่เป็นโอกาสในการใช้ความสามารถที่น่าทึ่งนี้จัดการกับความรู้สึกครอบงำและความสิ้นหวังที่ผู้คนรู้สึกในปัจจุบัน

20. แม้ว่ารายละเอียดผลิตภัณฑ์ยังคงเป็นความลับ แต่มีรายงานว่า OpenAI และ Ive กำลังพัฒนาอุปกรณ์ขนาดฝ่ามือที่ไม่มีหน้าจอ (screen-free, palm-sized device) ซึ่งสามารถรับสัญญาณเสียงและภาพจากสภาพแวดล้อมและตอบสนองคำขอของผู้ใช้ Altman อธิบายว่าอุปกรณ์นี้เป็น “trusted AI companion” ที่เข้าใจชีวิตของผู้ใช้และทำงานในนามของพวกเขา อุปกรณ์นี้ไม่ใช่แว่นตาหรือ gadget ธรรมดา แต่เป็น “essential tool” ที่สามที่อยู่เคียงข้างแล็ปท็อปและโทรศัพท์

21. Ive เปิดเผยว่าทีมของเขามีแนวคิดผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ 15-20 อย่าง โดยความท้าทายคือการ focus ให้ได้ เพราะ “มันจะง่ายถ้าคุณรู้ว่ามีแค่สามอย่างที่ดี แต่มันไม่ใช่แบบนั้น เรากำลังออกแบบ family of products และพยายามให้แน่ใจว่าเรามีวิจารณญาณและความรอบคอบในสิ่งที่เรา focus และไม่ถูก distract” เป้าหมายของอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ใช่แค่เพิ่มประสิทธิภาพ แต่เพื่อ “ทำให้เรามีความสุข เติมเต็ม สงบสุข กังวลน้อยลง และรู้สึกไม่ disconnected”

22. อย่างไรก็ตาม Financial Times รายงานว่าโปรเจคนี้เผชิญกับความท้าทายทางเทคนิคที่สำคัญ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับ “personality” ของอุปกรณ์ การจัดการ privacy และ computing infrastructure ซึ่งอาจทำให้การเปิดตัวล่าช้าจากเป้าหมายปี 2026 ที่เคยคาดการณ์ไว้ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะรอคำสั่งเสียงเฉพาะ อุปกรณ์จะใช้แนวทาง “always on” แต่ทีมยังประสบปัญหาในการทำให้แน่ใจว่ามันพูดเฉพาะเมื่อมีประโยชน์และจบการสนทนาในเวลาที่เหมาะสม Altman เองก็ยอมรับว่า “ฮาร์ดแวร์นั้นยาก การคิดค้น computing form factors ใหม่นั้นยาก” แต่เขาเชื่อว่าพวกเขามีโอกาสทำสิ่งที่ amazing ได้ แม้ว่าจะใช้เวลาสักพัก

Infrastructure Play: AMD Partnership

23. ก่อนงาน DevDay หนึ่งวัน OpenAI ประกาศข้อตกลงกับ AMD ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นของ AMD พุ่งขึ้นมากกว่า 30% ในตอนเช้าของวันจันทร์ (และปิดที่ขึ้น 23.71%) OpenAI จะ deploy 6 gigawatts ของ AMD Instinct GPUs หลายรุ่นหลาย generation โดยเริ่มต้นด้วย 1 gigawatt ของ AMD Instinct MI450 GPUs ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ตามการประมาณการของอุตสาหกรรม การนำ 1 gigawatt ของ AI capacity มาใช้งานต้องใช้การลงทุนประมาณ 50 พันล้านดอลลาร์ โดยประมาณสองในสามของจำนวนนั้นเป็นค่าชิปและ data center infrastructure ที่สนับสนุน

24. ภายใต้ข้อตกลง AMD ออก warrants ให้ OpenAI สำหรับหุ้นสามัญของ AMD สูงสุด 160 ล้านหุ้น ซึ่งเท่ากับประมาณ 10% ของ ownership ใน AMD (ตามจำนวนหุ้นที่ outstanding ในปัจจุบัน) การ vesting แบ่งเป็น tranches โดย tranche แรก vest เมื่อ deploy 1 gigawatt แรก และ tranches เพิ่มเติมจะ vest เมื่อ OpenAI ขยายไปถึง 6 gigawatts การ vesting ยังผูกกับการที่ AMD บรรลุเป้าหมายราคาหุ้นบางระดับ (tranche สุดท้าย vest เมื่อหุ้น AMD ถึง $600 ต่อหุ้น ในขณะที่หุ้นปิดวันศุกร์ที่ $164.67) และการที่ OpenAI บรรลุ technical และ commercial milestones ที่จำเป็นเพื่อให้ AMD deployments ทำงานได้ในระดับใหญ่

25. ข้อตกลงนี้มีนัยสำคัญหลายประการ ประการแรกคือ supply chain diversification สำหรับ OpenAI ซึ่งลดการพึ่งพา Nvidia ในขณะที่ยังคงรักษาข้อตกลง $100 พันล้านดอลลาร์กับ Nvidia (ที่ประกาศเมื่อเดือนก่อน) ไว้ ประการที่สองคือ competitive pressure ต่อตลาด โดย AMD ได้ลูกค้าสำคัญที่อาจเร่งพัฒนา AI roadmap และความน่าเชื่อถือในตลาดของ AMD หลังจากที่ตามหลัง Nvidia ในตลาด AI accelerator มาหลายปี ประการที่สามคือ market validation ที่แสดงว่าบริษัท AI ขนาดใหญ่มอง AMD เป็นทางเลือกที่เป็นไปได้สำหรับ cutting-edge AI workloads

26. Lisa Su CEO ของ AMD บอกกับ CNBC ว่า AI อยู่ในเส้นทางการเติบโต 10 ปี และ “ท้ายที่สุด คุณต้องการ foundational compute เพื่อทำสิ่งนั้น คุณต้องการความร่วมมือแบบนี้ที่นำ ecosystem มารวมกันจริงๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถได้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดออกมา” Jean Hu EVP, CFO และ treasurer ของ AMD คาดการณ์ว่าความร่วมมือนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้กับ AMD และ highly accretive ต่อ non-GAAP earnings-per-share ของ AMD โดยสร้าง strategic alignment และ shareholder value อย่างมีนัยสำคัญสำหรับทั้งสององค์กร

27. ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของ infrastructure ambitions ที่กว้างขวางของ OpenAI ผ่านโปรเจค Stargate ซึ่ง Altman กำลังเปลี่ยน startup ให้เป็นหนึ่งใน infrastructure builders ที่ aggressive ที่สุดในภาค AI ไซต์แรกใน Abilene, Texas ทำงานอยู่แล้วและใช้ชิป Nvidia ขณะที่การก่อสร้างยังคงขยายกำลังการผลิต ไซต์ที่กำลังจะสร้างใน New Mexico, Ohio และ Midwest คาดว่าจะใช้ suppliers หลากหลาย รวมถึง AMD ด้วย นอกจากข้อตกลง AMD แล้ว OpenAI ยังมีข้อตกลงกับ Broadcom มูลค่า $10 พันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาและผลิต custom AI chips และข้อตกลง $100 พันล้านดอลลาร์กับ Nvidia ที่คิดเป็น 10 gigawatts

28. เมื่อรวมกับโปรเจค Stargate ที่มี infrastructure roadmap 23 gigawatts และประมาณการค่าก่อสร้าง $50 พันล้านดอลลาร์ต่อ gigawatt OpenAI ได้ผูกพันกับการใช้จ่ายในการสร้าง buildout ใหม่มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเท่านั้น ตัวเลขที่น่าทึ่งเหล่านี้สะท้อนถึง compute requirements ที่มหาศาลของการพัอนาระบบ AI และการเดิมพันระยะยาวของ OpenAI ในการสร้าง competitive moat ด้าน infrastructure

การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์

29. DevDay 2025 แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญของ OpenAI จากการเป็นเพียงผู้ให้บริการโมเดลไปสู่การเป็น platform ecosystem ที่ครบวงจร การนำเสนอ Apps SDK, AgentKit, Codex และ model updates ต่างๆ ไม่ได้เป็นแค่การเพิ่มฟีเจอร์ แต่เป็นการสร้าง integrated development environment ที่คู่แข่งจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการจับตาม การรวม visual builder ของ AgentKit, app ecosystem ของ ChatGPT, engineering capabilities ของ Codex และ cutting-edge models สร้าง value proposition ที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพ

30. การเน้นที่ enterprise customers มากขึ้นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า OpenAI กำลังมองหา predictable revenue streams และ higher margins ที่มาจาก enterprise subscriptions และ API usage แทนการพึ่งพา consumer subscriptions เพียงอย่างเดียว การนำเสนอเครื่องมือสำหรับ orchestrating agents at scale, enhanced evaluations และ enterprise-focused sessions แสดงให้เห็นว่า OpenAI เข้าใจว่า enterprise adoption จำเป็นต้องมีความสามารถด้าน governance, observability และ reliability ซึ่งไม่สามารถมีได้จากเพียงแค่โมเดลที่ดี

31. การแข่งขันในตลาด AI infrastructure กำลังเข้มข้นขึ้น โดย OpenAI ใช้กลยุทธ์การสร้าง partnerships กับหลาย chip vendors (Nvidia, AMD, Broadcom) เพื่อลดความเสี่ยงจาก single vendor lock-in และสร้าง negotiating leverage ข้อตกลงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า OpenAI ไม่ได้เพียงแค่ซื้อ compute power แต่กำลังสร้าง strategic alignments ผ่าน equity arrangements ที่ผูกผลประโยชน์ระยะยาวของทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน การที่ OpenAI สามารถเข้าซื้อหุ้น 10% ของ AMD ผ่าน warrants แสดงถึงพลังในการเจรจาต่อรองและความสำคัญเชิงกลยุทธ์ที่ OpenAI มีในตลาด

32. การลงทุนใน hardware development ร่วมกับ Jony Ive แม้ว่าจะมีความท้าทายทางเทคนิค แต่ก็สะท้อนถึงความทะเยอทะยานของ OpenAI ในการควบคุม full stack ตั้งแต่ซอฟต์แวร์ไปจนถึงฮาร์ดแวร์ หาก OpenAI และ Ive สามารถสร้างอุปกรณ์ที่จริงๆ แล้วปรับปรุงความสัมพันธ์ของผู้คนกับเทคโนโลยีได้ มันอาจเป็น paradigm shift ครั้งใหม่เทียบเท่ากับที่ iPhone เคยทำ อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ของ AI hardware เต็มไปด้วยความล้มเหลว (เช่น Humane AI Pin) และความท้าทายที่รายงานเกี่ยวกับ “personality” และ “always on” approach แสดงว่ายังมีปัญหาพื้นฐานที่ต้องแก้ไข

33. คู่แข่งของ OpenAI โดยเฉพาะ Google, Anthropic (Claude) และ Meta กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกัน ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพทางเทคนิคระหว่าง leading AI models ได้แคบลงอย่างมาก ทำให้การแข่งขันเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของราคา developer experience และ specialized capabilities แทนที่จะเป็น raw model superiority เพียงอย่างเดียว การที่ OpenAI เปิดตัว Apps SDK และ AgentKit เป็นการสร้าง switching costs และ ecosystem lock-in ที่ยากต่อคู่แข่งในการทำตาม เพราะต้องการไม่เพียงแค่เทคโนโลยีที่ดี แต่ต้องการ distribution (800 ล้านผู้ใช้งาน) และ developer community (4 ล้านนักพัฒนา) ที่ใช้เวลาปีในการสร้าง

สรุป: ทิศทางและความเสี่ยง

34. OpenAI DevDay 2025 เป็นมากกว่าการประกาศผลิตภัณฑ์ แต่เป็นการวาง foundation สำหรับอนาคตที่ ChatGPT กลายเป็น platform ที่คนทำงาน สร้างสรรค์ และทำธุรกรรมบนนั้นได้โดยตรง การผสาน apps, agents และ APIs เข้าด้วยกันในที่เดียว พร้อมด้วย scale และเส้นทางที่ชัดเจนในการ ship ผลิตภัณฑ์ อาจทำให้ ChatGPT กลายเป็น workspace ประจำวันได้จริง หาก reliability และ privacy ยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

35. อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามสำคัญหลายข้อที่ยังไม่มีคำตอบ ประการแรก monetization model สำหรับ Apps in ChatGPT ยังไม่ชัดเจน OpenAI จะแบ่งรายได้อย่างไร และจะทำให้ developers มี incentive เพียงพอที่จะสร้าง high-quality apps หรือไม่ ประการที่สอง security และ privacy เมื่อ apps และ agents สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจากหลาย connectors จะมีการจัดการอย่างไร โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มี compliance requirements สูง ประการที่สาม hardware ambition กับ Jony Ive มีความเสี่ยงสูงมาก และหากล้มเหลว อาจส่งผลกระทบต่อ reputation และ investor confidence

36. การลงทุนมหาศาลใน infrastructure (มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในสองสัปดาห์) แสดงถึงความมั่นใจของ OpenAI แต่ก็เป็นความเสี่ยงในขณะเดียวกัน หาก AI bubble แตก หรือการเติบโตของ revenue ไม่สามารถตามทันการใช้จ่ายได้ OpenAI อาจเผชิญปัญหาทางการเงินร้ายแรง การที่ Altman บอกว่าการทำกำไรไม่ได้อยู่ใน top 10 concerns อาจทำให้ investors กังวล แม้ว่าเขาจะอ้างว่าบริษัทมั่นใจว่าสามารถสร้าง profitable model ได้ในที่สุด การแข่งขันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อ competitors ตอบโต้ด้วยผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกัน

37. สำหรับองค์กรในไทยและเอเชีย DevDay 2025 เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า AI กำลังเข้าสู่ยุคของ enterprise adoption และ agentic workflows การที่ OpenAI ทำให้การสร้าง agents ง่ายขึ้นผ่าน AgentKit และให้เครื่องมือครบวงจรสำหรับ production deployment หมายความว่าองค์กรที่เคยคิดว่า AI ยังไม่พร้อมสำหรับ production use cases ควรคิดใหม่ อุปสรรคทางเทคนิคลดลง แต่ความท้าทายใหม่คือการออกแบบ workflows ที่เหมาะสม จัดการ data governance และสร้าง change management ที่ดีเพื่อให้ทีมรับ agentic tools เข้ามา การแข่งขันในระดับภูมิภาคจะเพิ่มขึ้น และองค์กรที่ปรับตัวช้าอาจสูญเสีย competitive advantage อย่างรวดเร็ว

อย่าลืมกด Subscribe เพจด้วยนะครับ

Related articles

อยากเก่ง AI? ต้องเปลี่ยน Mindset จาก ‘ผู้ใช้’ เป็น ‘ผู้ถาม’ และ ‘ผู้ตัดสินใจ’

ในยุค AI การใช้เครื่องมือเป็นอย่างเดียวไม่พอ ต้องเปลี่ยน Mindset เป็นผู้ตั้งคำถามและผู้ตัดสินใจที่ดี บทความนี้จะพาคุณไปดูวิธีคิดและทักษะที่จำเป็น

Vibe Coding: เมื่อการเขียนโปรแกรมไม่ใช่เรื่องของโปรแกรมเมอร์อีกต่อไป

ทำความรู้จัก Vibe Coding เทรนด์ใหม่ที่ใช้ AI ช่วยเขียนโปรแกรมจากภาษาพูด ทำให้ทุกคนสามารถสร้างซอฟต์แวร์ได้โดยไม่ต้องมีพื้นฐานโค้ดดิ้ง เหมาะสำหรับสตาร์ทอัพและธุรกิจที่ต้องการสร้างนวัตกรรมอย่างรวดเร็ว

วิธีสมัครใช้งาน Gemini ปี 2025: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับทุกคน

อัปเดตล่าสุด 2025! คู่มือสอนวิธีสมัคร Gemini ทั้งเวอร์ชันฟรี, Advanced และการขอ API Key สำหรับนักพัฒนา พร้อมขั้นตอนและราคาอย่างละเอียดโดย Data-Espresso

เปิดตัว GPT-5: นวัตกรรม AI ที่เปลี่ยนโลกแห่งการสื่อสารและธุรกิจ

เจาะลึก GPT-5 โมเดล AI รุ่นล่าสุดจาก OpenAI ที่รวมการวิเคราะห์เชิงเหตุผลและการโต้ตอบที่รวดเร็วไว้ด้วยกัน พร้อมเปลี่ยนโลกการสื่อสารและขับเคลื่อนธุรกิจไปอีกขั้น

Context Engineering คืออะไร? กุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพ AI ให้เหนือกว่าแค่ Prompt

เคยสงสัยไหมว่าทำไม AI บางตัวถึงฉลาดเป็นพิเศษ? คำตอบอาจอยู่ที่ Context Engineering ศาสตร์แห่งการสร้างบริบทให้ AI ทำงานได้แม่นยำและตรงใจกว่าเดิม

Related Article

อยากเก่ง AI? ต้องเปลี่ยน Mindset จาก ‘ผู้ใช้’ เป็น ‘ผู้ถาม’ และ ‘ผู้ตัดสินใจ’

ในยุค AI การใช้เครื่องมือเป็นอย่างเดียวไม่พอ ต้องเปลี่ยน Mindset เป็นผู้ตั้งคำถามและผู้ตัดสินใจที่ดี บทความนี้จะพาคุณไปดูวิธีคิดและทักษะที่จำเป็น

รีวิว Perplexity Comet: เมื่อเบราว์เซอร์ AI ทำให้ผมแทบไม่อยากกลับไปใช้ Chrome

เจาะลึก Perplexity Comet เบราว์เซอร์ AI ที่เปลี่ยนการค้นหาข้อมูลแบบเดิมๆ สรุปเนื้อหา ถามตอบได้ทันที เหมาะกับใคร? คุ้มไหมที่จะใช้แทน Chrome? อ่านรีวิวฉบับเต็ม

Anthropic เปิดตัว Claude Agent SDK: สร้าง Agent อัจฉริยะง่ายๆ เพื่อธุรกิจยุคใหม่

เจาะลึก Claude Agent SDK จาก Anthropic เครื่องมือสร้าง AI Agent อัจฉริยะ ที่จะมาปฏิวัติ Workflow Automation และช่วยให้ธุรกิจของคุณทำงานได้อัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สอบถามข้อมูล